วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฮิปฮอป

ฮิปฮอป (อังกฤษ: Hip Hop) หรืออาจเขียนเป็น ฮิป-ฮอป (อังกฤษ: Hip-hop) มีความหมายถึงในด้านดนตรีแนวฮิปฮอป ที่เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่นอเมริกาและทั่วโลก จนถูกยกระดับให้เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีรากฐานการพัฒนามาจากชาวแอฟริกัน-อเมริกัน และ ชาวละติน โดยในช่วงยุค 70' หลังจากที่ดนตรีดิสโก้ที่พัฒนามาจาก แนวเพลงฟังค์ ในแบบของโมทาวน์ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้มีการเปิดแผ่นเพลงในคลับต่าง ๆ และด้วยการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี เกิดการสร้าง loop, beat ใหม่ ๆ ขึ้นมา ดนตรีฮิปฮอป จึงถือกำเนิดขึ้น

ประวัติ
คำว่า ฮิปฮอป มักถูกยกเครดิตให้กับ Keith Cowboy แร็ปเปอร์วง Grandmaster Flash & The Furious Five ถึงแม้ว่าในยุคนั้นศิลปินอย่าง LoveBug Starski, Keith Cowboy, และ DJ Hollywood จะถูกเรียกในนามของ "Disco Rap" แต่เครดิตก็มักยกให้กับ Keith Cowboy
ในช่วงยุค 70' เมื่อวัยรุ่นในย่านละแวกใกล้เคียงต้องการจะจัดงานปาร์ตี้ รื่นเริง (block party) ดนตรีฮิปฮอปจึงได้รับการแพร่ขยายเป็นที่รู้จัก ซึ่งฮิปฮอปก็ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ว่าเป็นแนวดนตรีชนิดหนึ่งอีกต่อไป แต่ยังได้รับการยกระดับให้เป็น วัฒนธรรมอย่างหนึ่งด้วย โดย วัฒนธรรมฮิปฮอปจะเกิดขึ้นได้โดยต้องมีปัจจัย 4 อย่าง คือ
  • กราฟฟิตี (graffiti) เป็นการเพนท์ พ่น กำแพง ความหมายเพื่อการเชื้อเชิญ แขก หรือสาว ๆ ในละแวกนั้นว่า งานปาร์ตี้เริ่มที่ไหนเมื่อไหร่
  • ดีเจ (DJ) ซึ่งมาจากคำว่า disc jockey ทำหน้าที่เป็นผู้เปิดแผ่นเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานปาร์ตี้
  • บี-บอย (B-Boy) - เป็นกลุ่มคนที่มาเต้นในช่วงระหว่างที่ดีเจกำลังเซ็ทแผ่นเพลง เพื่อเป็นการคั่นเวลา ซึ่งลักษณะการเต้น เราจะเรียกว่าเบรกแดนซ์ (break dance)
  • เอ็มซี (MC) เป็นแร็ปเปอร์ซึ่งหลังจากที่ ดีเจ เซ็ทแผ่นเรียบร้อยแล้ว MC จะทำหน้าที่ดำเนินงาน และงานปาร์ตี้ก็ได้เริ่มขึ้น
DJ Grandmaster Flash ดีเจฮิปฮอปที่มีชื่อเสียง
บี-บอย ในงานเอ็มทีวี สตรีท เฟสติวัล
กราฟฟิตี หนึ่งในองค์ประกอบของฮิปฮอป
ตอนต้นยุค 70s เริ่มจากดีเจในสมัยนั้นที่เป็นส่วนในการเล่นดนตรีแนวเบรก-บีท (break-beat) ซึ่งเป็นที่นิยมในการเต้นรำในสมัยนั้น DJ Kool Herc และ Grandmaster Flash ได้แยกการดีเจออกมาโดยเน้นเพื่อให้เป็นการเต้นรำได้ตลอดทั้งคืน เบรก-บีทนั้นก็พัฒนามาจากเพลงฟังก์ที่มีพวกเครื่องเล่นเพอร์คัชชันเล่นอยู่ด้วย และนี่ก็เป็นการพัฒนาของดีเจ รวมถึงคัตติง (cutting) ด้วย
การแร็ปนั้น พวก MC ตอนแรกจะพูดเพื่อโปรโมทให้ดีเจในงานปาร์ตี้ต่าง ๆ แต่เริ่มมีการพัฒนาโดยการใส่เนื้อร้องลงไป โดยเนื้อหาอาจจะเกี่ยวกับชีวิต เรื่องรอบตัว ยาเสพติด เซ็กส์ โดย Melle Mel มักถูกยกเครดิตว่าเป็น MC คนแรก
ปลายยุค 70s ดีเจหลายคนได้ออกแผ่น โดยมีการแร็ปลงจังหวะเพลง เพลงที่ดัง ๆ มีอย่าง "Supperrappin" ของ Grandmaster Flash & The Furious Five, "The Breaks" ของ Kurtis Blow และ "Rapper's Delight" ของ The Sugar Hill Gang เป็นต้น
จนกระทั่งในปี 1983 ฮิปฮิอปถูกย้ำให้ชัดเจนขึ้นเมื่อ Afrika Bambaataa and the Soulsonic Force ได้ออกแผ่นที่ชื่อว่า "Planet Rock" แทนที่จะเป็นการแร็ปในจังหวะดิสโก้ Bambaataa ได้ใช้เสียงอีเลคโทรนิกแบบใหม่ขึ้นมาแทน โดยเทคโนโลยีซินธิไซเซอร์สมัยนั้น จนกระทั่ง ฮิปฮอปเข้าสู่กระแสหลัก เป็นที่นิยมอย่างมากในยุค 90s ซึ่งในปัจจุบันมีศิลปินแนวฮิปฮอปอยู่จำนวนมาก

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วงการเพลงอินดี้ไทย

ก่อนยุคอินดี้บูมครั้งแรกในปี 2537 ค่ายเพลงไทยสากลโดยรวม เน้นแนวกลางๆ ฟังง่ายๆ เหตุผลหนึ่งคือต้นทุนการผลิตเพลงสมัยนั้นสูงมาก ค่าเช่าห้องบันทึกเสียงและอุปกรณ์ราคาแพง การผลิตเพลงจึงเป็นของค่ายเพลงใหญ่ ซึ่งมีการกำหนดแนวเพลง ให้กับศิลปินนักร้อง เมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ก้าวหน้า ต้นทุนการผลิตเพลงถูกลง จึงเป็นโอกาสให้กับค่ายเพลงใหม่ๆ ที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนเล็ก ที่มีความรักเสียงเพลง แต่ไม่มีเงินทุน สามารถคิด และสร้างสรรค์งานเพลง แตกต่างกับกระแสหลักมากขึ้น กลายเป็นทางเลือกใหม่ ด้วยความเบื่อหน่ายในเพลงกระแสหลักที่สะสมไว้มานาน ความนิยมของผู้ฟังจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ศิลปินนักร้องผู้มีความรู้ความสามารถทางดนตรีใน “แนว” ที่ตนถนัด จึงเริ่มมีสิทธิมีเสียงขึ้นมา พัฒนาไปจนถึงการเป็นเจ้าของค่ายเพลงเล็กๆ รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ เป็นหนึ่งในตัวอย่างของค่ายเพลงอินดี้ ที่โลดแล่นอยู่กับคลื่นลมเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น เขาเริ่มต้นด้วยการก่อตั้งและเป็นมือเบสวง “Crub” ออกอัลบั้มชุด “View” ในปี 2537 บุกเบิกแนวเพลง brit-pop ของอังกฤษในไทย จนมาเป็นฐานะเจ้าของค่ายต้นสังกัดของวง “สี่เต่าเธอ” ที่โด่งดังในยุคอินดี้บูมครั้งแรก ต่อมารุ่งโรจน์ก่อตั้งบริษัท Small Room ในปี 2542 มุ่งงานรับทำเพลงโฆษณา แตกมาเป็นเพลงขายเป็นอัลบั้มตามร้านทั่วไป เช่นวง Armchair ซึ่งบางเพลงได้รับคัดเลือกไปวางจำหน่ายในระดับนานาชาติ รวมถึงเพลงประกอบภาพยนตร์ เช่น “เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล” ของ เป็นเอก รัตนเรือง ในขณะที่ค่ายเพลงใหญ่ๆ สร้างระบบการทำงาน โดยแยกบทบาทชัดเจนระหว่างรูปแบบ ศิลปินเดี่ยว วง นักดนตรี นักแต่งเพลง รูปแบบอินดี้ได้เข้ามาทำให้การแบ่งแยกเหล่านี้น้อยลง แต่ดูจะไม่เคยมีครั้งใดที่บทบาทเหล่านี้จะถูกหลอมรวมเข้าหากัน เท่ากับที่ Monotone Group ทำอยู่

Monotone Group เกิดขึ้นจากการที่กลุ่มคนทำเพลงเป็นงานอดิเรกส่งขึ้นโชว์ตามเว็บไซต์ บ้างก็เพิ่งจบปริญญาตรี บ้างก็กำลังเรียนอยู่ ได้มาพูดคุยกันทางอินเทอร์เน็ต นำมาซึ่งการนัดเจอและแนะนำเพื่อนต่อกันไปจนรวมกันเป็นกลุ่มนักดนตรีที่ทำด้วยใจรัก โดยไม่มีใครเป็นนักดนตรีอาชีพ และไม่มีใครเรียนจบด้านดนตรี

Monotone Group เริ่มมีชื่อเสียงจากการออกอัลบั้ม “This Is Not A Love Song” ในปี 2545 ซึ่งมีผู้มีส่วนร่วมนับสิบๆ คน เสมือน “ชมรมดนตรี” ที่ผลิตงานเพลงมาขึ้นอันดับความนิยมในสถานีวิทยุได้ ย้อนกลับไปตั้งแต่หลังความสำเร็จในชุดแรกได้ไม่นาน Monotone Group ได้ก่อตั้งบริษัทชื่อ Be Quiet ขึ้นเพื่อความน่าเชื่อถือในการรับงานต่างๆ ส่วนการจัดจำหน่ายเพลงก็มอบให้ ค่าย Blacksheep ภายใต้บริษัท Sony Music BEC Tero ดูแล

Small Room : “The Next Indy Leader ?”

ออฟฟิศของ Small Room ตั้งอยู่ ณ มุมหนึ่งของชั้นล่างศูนย์การค้าเล็กๆ ริมถนนเอกมัย บรรยากาศทั้งสำนักงานและห้องบันทึกเสียงตกแต่งอย่างสวยงามราวกับร้านกาแฟ พนักงานราว 5 คนแต่งตัวกันตามสบายต้อนรับเราเข้าพบกับ “พี่รุ่ง” รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืด บอกเล่าชีวิตที่ฝ่าคลื่นลมในวงการเพลงไทยในห้องรับแขกติดกับสวนหย่อมเล็กๆ

เริ่มต้นอย่าง “ศิลปินอินดี้”…

รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ มีใจรักดนตรีจากการที่คุณพ่อส่งเสริมให้สมาชิกในบ้านชอบฟังเพลงและเล่นดนตรียามว่าง จบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ลาดกระบัง แต่หันเหไปชอบดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ รุ่งโรจน์บอกเล่าความรู้สึกกับงานสถาปนิกว่า “ผมเกลียดงานเขียน draft ถ้ากินเครื่องดื่มชูกำลังสองขวดแล้วให้มา draft งานผมจะหลับได้ทั้งคืน แต่ถ้าให้ทำเพลงผมสามารถไม่นอนสองคืน”

ช่วงปี 2537 รุ่งโรจน์นำบทเพลงที่แต่งขึ้นเอง ออกตระเวนเสาะหาค่ายเพลงที่มี sound engineer ที่ช่วยให้ “ซาวด์” ของเพลงเป็น “แบบฝั่งอังกฤษ” อย่างที่เขาหลงใหลและจินตนาการไว้อย่างละเอียด มาตรฐานที่เขาตั้งไว้อย่างเฉพาะเจาะจง ทำให้ต้อง “อยู่หลายที่ ย้ายไปเรื่อย” ด้วยเหตุผลหลักว่า sound engineer ของแต่ละค่ายนั้นยังไม่สามารถช่วยให้เขาสร้างซาวด์ในใจนั้นได้ แม้แต่ค่ายเพลงใหญ่ๆ ด้วยระบบของการจัดศิลปินให้ลง “กรอบ” เป็นอุปสรรคต่อความต้องทำเพลงที่เฉพาะเจาะจง ในที่สุดเขาก็ได้พบกับค่ายที่ต้องการและออกอัลบั้ม “View” มาในนามวง “Crub” ใช้เวลาผลิตงาน 4 เดือน ขายได้ 2 หมื่นชุด ซึ่งไม่คุ้มทุน เพราะในยุคนั้นต้นทุนการผลิตงานเพลงสูงกว่าปัจจุบันมาก “รู้สึก fail มาก” คือความรู้สึกในช่วงนั้น

สู่เส้นทางเจ้าของค่ายเพลง…

ปี 2537 ด้วยการเป็นหุ้นส่วนร่วมก่อตั้งค่ายเพลงอินดี้ชื่อ Boop Record ออกอัลบั้มของวง “สี่เต่าเธอ” ในช่วงที่กระแสเพลงอินดี้เริ่มบูมในไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งรุ่งโรจน์เผยว่าเป็นชุดที่ขายดีชุดหนึ่ง แต่จากนั้นรุ่งโรจน์ก็ “เจ๊ง” อีกถึงสองครั้ง ด้วยเหตุผลเรื่องของ ค่าเช่าห้องอัด 4 แสนเข้าไปแล้ว ยังไม่นับรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ

ทำไมต้อง “Small Room” ?…

ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีการทำเพลงราคาถูกเกิดขึ้น รุ่งโรจน์เปิดบริษัทใหม่อีกครั้ง ในชื่อ Small Room ครั้งนี้มุ่งหารายได้หลักไปที่การรับทำเพลงประกอบโฆษณา และครั้งนี้เขาต้องปรับตัวเองครั้งใหญ่ให้ฟังเพลงและทำเพลงได้หลากหลายแนวเพื่อรองรับโจทย์ของลูกค้า

ที่มาของชื่อ Small Room คือเมื่อแรกตั้งนั้น พื้นที่สำนักงานส่วนใหญ่ถูกใช้จัดเป็นสวนหย่อมอย่างสวยงามและเหลือพื้นที่ส่วนน้อยเท่านั้นไว้เป็นสำนักงานและห้องบันทึกเสียง ธุรกิจรับทำเพลงประกอบโฆษณาบริษัทดำเนินไปได้ดี แต่รุ่งโรจน์ก็ยังต้องการทำธุรกิจค่ายเพลงอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเปลี่ยนวิธีคิดวิธีการนำเสนอใหม่ทั้งหมด

Small Room 001 บุกเบิกและเรียนรู้…

อัลบั้ม Small Room 001 ออกจำหน่ายในปี 1999 รุ่งโรจน์เล่าว่าอัลบั้มนี้เป็นต้นแบบของหลายๆ อย่างในวงการเพลงไทย เช่นการนำเอาเพลงใหม่ของศิลปินรายละ 1 – 2 เพลงมารวมกัน มีการใช้นามแฝง ซึ่งรูปแบบนี้ปัจจุบันพบได้ในหลายอัลบั้มของค่ายอื่นๆ

อัลบั้ม 001 นี้ใช้การทำเพลงด้วยอุปกรณ์เชิงคอมพิวเตอร์ ซึ่งเขาเรียกรวมว่าเป็น “harddisk recording” รุ่งโรจน์เปิดเผยว่าใช้งบเพียง 45% ของอดีตสมัยที่ต้องเช่าห้องอัดเสียง

รุ่งโรจน์ตัดสินใจผลิตอัลบั้มชุดนี้ออกมาเป็นเทป 1 หมื่นม้วน กับ CD 1 พันแผ่น ผลปรากฏว่า CD ขายหมดอย่างรวดเร็ว แต่เทปกลับเหลือจำนวนมากจนทำให้ขาดทุน อาจนับได้เป็นตัวอย่างของศิลปินทำธุรกิจ ซึ่งแม้จะเป็นธุรกิจด้านเพลงแต่ก็ต้องอาศัยข้อมูลและประสบการณ์ที่ “คนทำเพลง” อย่างเขายังขาดอยู่

Small Room 002 ท้าทายค่ายใหญ่…

ขณะนั้นกระแสความนิยมในศิลปินประเภทอินดี้เริ่มกลับมา รุ่งโรจน์ย้อนเล่าว่าเริ่มมีเสียงวิจารณ์จากค่ายใหญ่ๆ ว่าถึงที่สุดแล้วกระแสอินดี้บูมรอบสองนี้ก็คงจะจบไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับครั้งแรก คำพูดเหล่านี้ทำให้รุ่งโรจน์ “รู้สึกถูกท้าทาย” อย่างแรง ใน Small Room 002 นอกจากคุณภาพเพลงแล้ว เขาได้ทุ่มทุนทำปกซีดีให้สวยงามซับซ้อนด้วยแรง “ฮึด” ที่จะท้าทายค่ายใหญ่ๆ

อัลบั้ม 002 นี้เปิดตัวในงาน Fat Festival ซึ่งเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่เริ่มต้นยุคอินดี้บูมครั้งที่สอง และอัลบั้มนี้ก็ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย

คิดแบบ Small Room…

Small Room มุ่งค้นหา “ตัวตน” ของศิลปินอย่างจริงจังโดยเฉพาะรสนิยมการฟังเพลง ประเด็นนี้รุ่งโรจน์มองว่าค่ายใหญ่ค่อนข้างออกไปทางคล้ายโรงงานที่มีกรอบอยู่แล้ว และพยายามหาพยายามจับศิลปินมาใส่กรอบนั้น

และก่อนจะติดสินใจผลิตอัลบั้มหนึ่งๆ รุ่งโรจน์จะมองหาคู่แข่งมาฟังวิเคราะห์ เปรียบเสมือนการส่งนักมวยขึ้นชกเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ในขณะที่ค่ายแบบอินดี้หลายค่ายเน้นการเดินสายแสดงสด เพื่อชดเชยที่ไม่ได้ออกสื่อมวลชน Small Room กลับไม่เน้นการแสดงสด รุ่งโรจน์ให้เหตุผลว่า “อยากให้น้องๆ ศิลปินได้เอาเวลาไปคิดไปแต่งเพลงทำเพลงให้ดีที่สุด ไม่ใช่เอาเวลามาทุ่มฝึกซ้อมการแสดงบนเวที”

ปัญหาอุปสรรคของอินดี้ และของ Small Room…

ปัญหาที่ Small Room ประสบมาตลอดจนถึงปัจจุบันนั้น รุ่งโรจน์สรุปว่าข้อแรกคือ “งานเยอะกว่าคน” เขาสำทับว่า “พี่อยากให้น้องๆ ในออฟฟิศทุกคนได้มีเวลาไปเที่ยวกับแฟน มีเวลาให้ครอบครัวกันมากๆ”

ต่อมาคือการ “QC” หรือควบคุมคุณภาพเพลงจากนักร้องนักดนตรีในสังกัดซึ่งมักจะไม่ชอบถูก QC แต่รุ่งโรจน์ได้ย้ำว่า “เพลงที่จะออกขายเป็นพาณิชยศิลป์ จะต้องผ่านการ QC”

กระแสอินดี้กลับมาบูมแล้ว จะยั่งยืนหรือไม่ ?…

ยุคที่อินดี้บูมครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่ค่ายเพลงทั้งใหญ่เล็กออกผลงานศิลปินโดยวางตำแหน่งเป็นอินดี้กันเยอะเกินไป ขาดการกลั่นกรองว่าอะไรดีไม่ดี หลายชุดทำออกมาหยาบๆ ไม่มีไอเดียใหม่แต่เอามา “ติดตราอินดี้” เกาะกระแส ผู้ฟังจึงหมดศรัทธา

ส่วนการกลับมาในช่วงหลังนี้ รุ่งโรจน์สรุปว่าเริ่มจากการที่ “พี่เต๊ด” ยุทธนา บุญอ้อม เปิด Fat Radio และจัดงาน Fat Festival ครั้งแรกขึ้นในปี 2544 อีกทั้งบรรดาศิลปิน ค่ายเพลง และผู้บริโภคเองก็ได้ “เรียนรู้และปรับตัว” ทุกสิ่งเป็นระบบขึ้น ไม่ใกล้เคียงกับความ “แบกะดิน” แบบครั้งก่อน

ทัศนะว่าด้วย “เด็กแนว”

กับการบูมของอินดี้ครั้งที่แล้ว รุ่งโรจน์สังเกตว่า มีการแต่งตัวเลียนแบบศิลปินบ้าง แต่ไม่ “art” เท่าปัจจุบัน ซึ่งแต่งได้ออกมาสวยงามน่าดูกว่ามาก นอกจากนี้โทรศัพท์มือถือก็เข้ามามีส่วนกับไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นค่อนข้างมาก ซึ่งก็เป็นความพยายามของทางธุรกิจโทรศัพท์มือถือเองด้วยที่จะเกาะติดไลฟ์สไตล์วัยรุ่น

เมื่อมองถึงอนาคตของกระแส “เด็กแนว” รุ่งโรจน์เชื่อว่าจะอยู่ได้นาน “เด็กอัลเทอร์” (วัยรุ่นที่ชอบเพลงแนว alternative ซึ่งโด่งดังในยุคต้นทศวรรษ 90’s หรือ 2533) ก็ได้เติบโตขึ้นมาทำงานในภาคธุรกิจต่างๆ มีส่วนผลักดัน “เด็กแนว” ในปัจจุบันให้เติบโตไปสืบทอดความเป็นวัยรุ่นในยุคหน้าต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประวัติ green day

รายชื่อสมาชิก
รายชื่อสมาชิกหลัก

  • Billie Joe Armstrongเล่นเพลงนำ, กีต้าไฟฟ้าs (1987–ปัจจุบัน)

  • Mike Dirntเบส, ร้องประกอบ (1987–ปัจจุบัน)

  • Tré Coolกลอง, จังหว่ะเพลง, ร้องประกอบ (1990–ปัจจุบัน)


  • รายชื่อสมาชิกเสริมในการทัวร์คอนเสิร์ต (ปัจจุบัน)
    รายชื่อมาชิกในอดีต
    • John Kiffmeyer – กลองชุด, ให้จังหว่ะกลอง, ร้องประกอบ (1987–1990)
    รายชื่อสมาชิกเสริมในการทัวร์คอนเสิร์ต (อดีต)
    • Timmy Chunks – ให้จังหว่ะกีต้าร์ (1997–1999)
    • Garth Schultz – ทรอมโบน , ทรัมเป็ต (1997–1999)
    • Gabrial McNair – ทรอมโบน, แซ็กโซโฟน (1999–2001)
    • Kurt Lohmiller – ทรัมเป็ต, กลองทิมปานี(กลองใหญ่), ให้จังหว่ะกลอง, ร้องประกอบ (1999–2004)
    • Mike Pelino – จังหว่ะกีต้าร์, ร้องประกอบ (2004–2005)
    • Ronnie Blake – ทรัมเป็ต, กลองทิมปานี(กลองใหญ่), ให้จังหว่ะกลอง, ร้องประกอบ (2004–2005)
    ผลงานอัลบั้ม

  • 39/Smooth (1990)

  • Kerplunk (1992)

  • Dookie (1994)

  • Insomniac (1995)

  • Nimrod (1997)

  • Warning (2000)

  • American Idiot (2004)

  • 21st Century Breakdown (2009)



  • กรีนเดย์ (Green Day) เป็นวงร็อคจากอเมริกา เริ่มฟอร์มวงในปี 1987 โดยสมาชิก 3 คนคือ Billie Joe Armstrong (กีตาร์, ร้องนำ), Mike Dirnt (เบส) และ Tré Cool (กลอง)
    มียอดขายอัลบั้มทั่วโลกมากกว่า 60 ล้านชุด รวมถึง 22 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และได้รับรางวัลแกรมมี่ 3 ครั้งสาขา Best Alternative Album จากอัลบั้ม Dookie, Best Rock Album จากอัลบั้ม American Idiot, และ Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams"

    ประวัติ

    บิลลี่และไมค์เจอกันแล้วร่วมกันตั้งวงชื่อ Sweet Children ขึ้นมาตอนอายุสิบขวบ (1982) ก็เล่นกันมาเรื่อยๆ แต่ว่ายังไม่มีมือกลอง ตอนปี 1987 ก็มี John Kriftmeyer มาเป็นมือกลอง Sweet Children สถานที่ๆ เล่นเป็นทางการครั้งแรกคือ Rod's Hickory Pit ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วก็เล่นตามผับ ตามร้านอาหารเรื่อยมา
    หลังจากที่เปลี่ยนชื่อเป็นกรีนเดย์แล้ว กรีนเดย์ทำ EP ตัวแรกคือ 1,000 Hours ตอนช่วงชีวิตไฮสคูล ไมค์เรียนจบ บิลลี่ดร็อปการเรียนไว้ อัลบั้มเปิดตัวครั้งแรกในปี 1990 คือ 1039 Smoothed Out Slappy Hours เป็นการนำเอาอีพีที่ทำๆ ไว้มารวมกัน ออกกับค่ายอินดี้อย่าง Lookout! Records หลังจากนั้นมือกลองก็ขอลาออกจากวงไปเรียนต่อ ไมค์และบิลลี่เลยจัดการทาบทามมือกลองของวง The Lookout ! ซึ่งก็คือ Tre cool มือกลองคนปัจจุบัน tre เปิดตัวในฐานะหนึ่งในสมาชิกในอัลบั้มที่สอง คือ Kerpunk
    หลังอัลบั้มที่สอง ก็มีการทัวร์เกิดขึ้น Rob Cavallo ค่าย Reprise Records ได้สนใจจากการเห็นการเล่นสด และติดต่อไป กรีนเดย์เลยตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมงานด้วย อัลบั้มที่ออกกะค่ายนี้คือ Dookie เพลงในอัลบั้มนี้เป็นเพลงที่แต่งขึ้นระหว่างการทัวร์ซะส่วนใหญ่ หลังจากที่ Dookie ออกวางจำหน่าย กรีนเดย์กลายเป็นที่รู้จักกันในนามวงร็อคมากด้วยพลังและสติไม่เต็ม มียอดขายได้มากกว่าสิบล้านแผ่น (เฉพาะในอเมริกา) กรีนเดย์ชนะรางวัลแกรมมี่ในปี 1994 สาขา Best Alternative Music Performance
    อัลบั้มที่ตามมาก็คือ Insomniac กับ Nimrod เพลงที่ประสบความสำเร็จคือเพลง Good Riddance (Time of Your Life) สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว กรีนเดย์ตัดสินใจพักงานเพลงสองปี ในปี 2000 กรีนเดย์โจมตีวงการเพลงอีกครั้งด้วยอัลบั้ม Warning และด้วยเสียงเพลงที่ต่างจากอัลบั้มอื่นๆ เลยทำให้ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับจากนักวิจารณ์และแฟนเพลงมากนัก เพลงที่โดนโจมตีมากที่สุดก็คือ Minority
    หลังสี่ปีที่ไม่มีอัลบั้มใหม่ออกมา จะมีก็แค่ทัวร์เล็กๆ น้อยๆ กรีนเดย์ปล่อยซิงเกิ้ล American Idiot ที่โจมตีรัฐบาล ในเดือนกันยายน 2004 อัลบั้ม American Idiot ขึ้นที่หนึ่งของบิลบอร์ดชาร์ตและก็ชาร์ตต่างๆ มากมายอีกทั่วโลก กรีนเดย์ถูกเสนอชื่อเข้าชิง เจ็ดสาขาของแกรมมี่อวอร์ต และที่ได้รับรางวัลคือ คือ Best Rock Album และ Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams"
    ห้าปีต่อมาหลังจากออกอัลบั้มAmerican Idiotและได้ผลิตผลงานใหม่ในชื่อว่า 21st Century Breakdownเป็นเพลงแนว"Rock opera"ตามอัลบั้ม American Idiotและเป็นครั้งแรกที่ในการร่วมมือทำผลงานกับโปรดิวเซอร์เพลงชื่อดัง Butch Vig และได้เริ่มบันทึกเสียงทำผลงาน เดือนมกราคม ในปี 2006 และ 45 เพลงได้แต่งเพลงโดย สมาชิกในวง ต่อมาในเดือนตุลาคม ปี 2007 แต่สมาชิกวงและโปรดิวเซอร์ไม่ได้เข้ามาทำงานสตูดิโอจนถึง มกราคม 2008 และต่อมาก็เริ่มทำงานอย่างจริงจังและเริ่มบันทึกเสียงอีกครั้งในช่วง 3-4 ปี บันทึกเสียงสตูดิโอที่แคลิฟอร์เนียจนทำผลงานสำเร็จที่ในเดือนเมษายน ปี2009
    กรีนเดย์เคยมาเปิดแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2539 ณ เอ็มบีเค ฮอลล์ และครั้งที่สองในชื่อ ทเวนตี้-เฟิร์ส เซ็นทูรี เบรกดาวน์ ทัวร์ เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี
    ล่าสุดGreen Dayได้รับรางวัล Grammy สาขา Best Rock Album ในงานประกาศรางวัล Grammy Awards ครั้งที่ 52 จัดขึ้นที่ สเตเปิลส์เซ็นเตอร์ ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 31 มกราคม ปี 2010.


    ตำนานเพลงร็อค

    เมื่อปี 1955 ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock 'n' Roll) ทำให้โลกดนตรีมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเกิดดนตรีรูปแบบใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาทั้งหวาน ทั้งร้อนแรง โศกเศร้า จริงใจ เปิดเผย ผสมผสานกันด้วยความรุนแรง เร่าร้อน ดุดัน แต่บางขณะกลับอ่อนหวานเกินคาดเดา Rock 'n' Roll เมื่อ Bill Haley and his Comets นำเพลง (We're Gonna) Rock Around the Clock ขึ้นอันดับ 1 ในบิลล์บอร์ดชาร์ท เมื่อวันที่ 9 ก.ค.1955 และอยู่ในตำแหน่งนั้นนานถึง 8 สัปดาห์ติดต่อกัน ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock 'n' Roll) ได้เกิดขึ้นแล้ว Chuck Berry, Little Richar, Fats Domino, Bo Diddley, Ray Charles เป็นศิลปินผิวดำที่ร่วมสร้างดนตรีร็อคแอนด์โรลล์ขึ้นมาเมื่อกลางทศวรรษ ที่ 50 ด้วยเพลงร็อคดีๆมากมาย แต่ดูเหมือนร็อคแอนด์โรลล์จะขาดอะไรไปบางอย่าง จนการมาถึงของหนุ่มนักร้องผิวขาวที่ชื่อ เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ต้นปี 1956 เอลวิส ในวัย 21 กับเพลง Heartbreak Hotel ที่ขึ้นอันดับ 1 ก็โด่งดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เอลวิสมีเพลงฮิตหลายเพลงในปีนั้นเช่น Blue Suede Shoes, I Want You I Need You I Love You, Hound Dog, Don't Be Cruel, Love Me, Anyway You Want Me และ Love Me Tender ส่งผลให้เขากลายเป็นราชาร็อคแอนด์โรลล์ไปในทันที Carl Perkins, Jerry Lee Lewis, Buddy Holly, Gene Vincent, The Everly Brothers, Ricky Nelson, Roy Orbison เป็นศิลปินรุ่นต่อมาที่ได้ร่วมสร้างดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ให้แข็งแรงขึ้น ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ เกิดจากส่วนผสมของดนตรีหลายอย่างที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น เช่น Country, Gospel, Blues และ Rhythm and Blues แต่ก็ต้องขอบคุณต่อเสน่ห์ของเอลวิส ที่ทำให้ร็อคแอนด์โรลล์โด่งดังและเติบโต มาได้ถึงทุกวันนี้ แต่แล้ว เมื่อต้นทศวรรษที่ 60 ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ เกือบจะพบจุดจบ เพราะความคลั่งไคล้ในร็อคแอนด์โรลล์ ก่อให้เกิดการเลียนแบบอย่างไร้สาระ ถึงแม้จะมีศิลปินเกิดใหม่มากมาย แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาอย่างจริงจัง คราวนี้ร็อคแอนด์โรลล์ต้องขอบคุณต่อหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ในนามของ The Beatles British Invasion บริทิช อินเวชั่น (Britiah Invasion) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1964 โดยคณะนักดนตรีจากอังกฤษจำนวนมากมาย นำรูปลักษณ์ และบทเพลงใหม่ๆ ออกท้าทายวงการร็อคแอนด์โรลล์ มันกลายเป็นการพัฒนาดนตรีร็อคครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด หลังจากเอลวิส เพรสลีย์ และนักดนตรีชาวอเมริกันหลายคนสร้างขึ้นมา แม้พวกเขาจะเป็นเพียงหนุ่มวัยรุ่น 4 คน ที่เกิดมาในครอบครัวของชนชั้นกรรมาชีพจากเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ แต่เมื่อได้รวมตัวกันในนามของ The Beatles และสร้างผลงานเพลงขึ้นมา พวกเขาก็ไม่ใช่แค่วงดนตรีธรรมดา เดอะ บีเทิลส์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างไม่ใช่เพียงแค่ในวงการดนตรี แต่ยังหมายถึง แฟชั่น วัฒนธรรม ศิลปทุกแขนง ไปจนถึงการเมือง อิทธิพลของพวกเขาไม่ใช่แค ทรงผม ท่าทาง เสื้อผ้า หรือรองเท้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงแนวความคิด วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของคนรุ่นใหม่อย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าจะมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น มีกลุ่มนักดนตรีจากอังกฤษจำนวนมากมาย ที่ร่วมขบวนการมากับเดอะ บีเทิลส์ แต่ที่ได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันได้แก่ The Rolling Stones, The Kinks และ The Who รวมทั้งที่กลายเป็น ศิลปินเดี่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น Jeff Beck, Steve Winwood, Van Morrison และ Eric Clapton ในขณะที่ British Invasion กำลังครอบครองวงการร็อคแอนด์โรลล์และวงการ พ็อพ (Pop) อย่างหนักนี้ ดนตรีอเมริกันเจ้าของเพลงร็อคแอนด์โรลล์ ก็เริ่มการโต้ตอบ กลับโดยดนตรี ริธึมแอนด์บลูส์ ( Rythm and Blues) ซึ่งเริ่มพัฒนามาเป็นเพลงร็อคเต็มตัว เช่นเพลงทั้งหมดจาก Motown ที่ ภายหลังถูกเรียกว่า เพลงโซล (Soul) อีกส่วนหนึ่งมาจากดนตรีของ The Beach Boys และที่สำคัญที่สุด มาจากนักร้องนักแต่งเพลงโฟล์คที่ชื่อ Bob Dylan แต่การต่อสู้ที่เข้มข้นบนอันดับเพลงในช่วงนี้ กลับเป็นการพัฒนาดนตรีร็อค ครั้งสำคัญที่สุด มันทำให้เพลงร็อคมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไป Psychedelic ปี 1967 วงการร็อคพัฒนาตัวเองไปอีกก้าวใหญ่ ถึงแม้ความจริง มันจะเป็นยุคแห่งความยุ่งยากทางการเมือง ยุคแห่งการเรียกร้องสันติภาพ ยุคแห่งการเติบโตของยาเสพติด แต่กลับกลายเป็นพลังให้ดนตรีร็อคพัฒนาตัวแทรกเข้าถึงดนตรีประเภทอื่นๆ และย้อนกลับมาเป็นดนตรีร็อคของพวกเขาอย่างเต็มภาคภูมิ Blues-Rock, Folk-Rock, Country-Rock เกิดขึ้นในช่วงนี้ จากการนำของวงดนตรีอย่างเช่น The Byrds, The Cream, The Paul Butterfield Blues Band จากนั้นก็มุ่งเข้าสู่ยุค Psychedelic อย่างเต็มตัวจากเพลงของ The Beatles, Jefferson Airplane, The Grateful Dead, The Doors, Pink Floyd, Jimi Hendrix และ Janis Joplin อีกสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาดนตรีร็อคในช่วงนี้ คือ ดนตรีโซล (Soul) จากบริษัทแผ่นเสียง Stax1 ซึ่งได้นำจังหวะเพลงที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง เข้ามาสู่เพลงร็อค และแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกันอย่างแทบไม่น่าเชื่อ Rock, Hard Rock, Heavy Metal, Soft Rock ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา ไม่มีใครหยุดยั้งร็อคแอนด์โรลล์ได้ มันเจริญ เติบโตด้วยตัวของมันเองส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการผสมผสานกับดนตรีรูปแบบอื่น อย่างไร้พรหมแดน แต่อย่างน้อยเราก็เห็นว่า มันมีแนวทางที่ชัดเจนอยู่ 2 อย่างคือ Hard Rock เป็นดนตรีที่หนักหน่วง และ Soft Rock เป็นร็อคที่นุ่มนวลกว่า Hard Rock, Heavy Metal ในทางด้านดนตรีนั้น ทั้ง Heavy Metal และ Hard Rock มีความใกล้เคียง กันมาก จนแทบจะแยกกันไม่ออก โดยทั้งสองแนวนี้จะใช้เสียงในการเล่นที่ดัง เครื่องดนตรีส่วนใหญ่ จะเป็นกีตาร์ เบส และกลอง บวกกับเสียงร้อง ที่ต้องใช้พลัง มีสิ่งหนึ่งที่พอจะแยกความแตกต่างระหว่าง Heavy Metal กับ Hard Rock คือ ดนตรีในแบบ Hard Rock นั้น จะมีเสียงของดนตรีบลูส์ และร็อคแอนด์โรลล์ ปะปนอยู่ แต่ใน Heavy Metal นั้นมีน้อยมาก ในช่วงต้นยุคทศวรรษ 70 นั้น Heavy Metal ซึ่งได้เติบโตมาจาก Hard Rock ก็เจริญงอกงามและได้วางรากฐานของตัวมันเอง ด้วยการเล่นที่ดุดัน หนักหน่วง ร้อนแรง ผู้ฟังส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว ที่ต้องกาารสื่อสารกับคนภายนอก แสดงออกชัดอย่างโจ่งแจ้งทางอารมณ์และความคิด สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ และแหวกขนบธรรมเนียมของสังคม ที่ผ่านมานั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งแง่บวกและ แง่ลบกันอยู่เสมอเกี่ยวกับดนตรี Heavy Metal หากแต่ดนตรีประเภทนี้ก็ยังมี การพัฒนาต่อเนื่องและเป็นที่ยอมรับ มาเรื่อยๆ ตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ดนตรี Hard Rock และ Heavy Metal ได้ แตกแขนงออกไปจนมีลักษณะเฉพาะของตัวเองแยกออกไปเป็นชื่อต่างๆ ที่เรียกตาม ลักษณะดนตรี บางครั้งแบ่งตามลักษณะของการแต่งตัว แบ่งตามลักษณะของเนื้อหา ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันได้แก่ Glam Rock, Arena Rock, Boogie Rock, Pop- Metal, British Metal, Thrash, Neo-Classic Metal, Speed Metal, Death Metal, Guitar Virtuoso, Progressive Metal, Punk Rock, Rap Rock. Soft Rock Soft Rock เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในตอนต้นของปี 1970 มีลักษณะเพลงที่เรียบง่าย ทำนองรื่นหู มีความสวยงาม อ่อนโยน และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังทั่วไป ศิลปินที่ มีชื่อเสียงและทำให้คนยอมรับเพลงเหล่านี้ ได้แก่ The Carpenters, Bread, Carole King, The Eagles, Elton John และ Chicago ซึ่งสร้างผลงาน ดนตรีที่มีความเรียบง่ายหากแต่มีความไพเราะและกลายเป็นบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา กลายเป็นจุดเริ่มต้นของงาน ที่ให้ความสำคัญกับความอ่อนหวานในบทเพลง ตลอดทศวรรษที่ 70 ดนตรีร็อคได้มีการพัฒนาและแตกแขนงกลายเป็นดนตรีอีกหลาย แนว โดยมีชื่อเรียกต่างกันออกไป ได้แก Pop Rock, Pop Dance, Dance, Easy Listening, Folk Rock, Jazz Rock , Disco และอื่นๆ ปัจจุบันดนตรี Rock ได้วางรากฐานไว้ในดนตรีแทบทุกประเภท โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดนตรี ร็อคยังคงพัฒนาไม่หยุดยั้ง และคงยังได้รับความนิยมอยู่เสมอมา It's Only Rock 'n' Roll (But I Like It) - The Rolling Stones พอดีเจอบทความเกี่ยวกับ Rock and Roll มาเพราะพอดีช่วงนี้เป็นช่วงอาลัยกับวันจากไปของ เอลวิส เพรสลีย์ ซึ่งผมจะหาประวัติของ เอลวิส เพรสลีย์ อย่างย่อๆมาลงให้อีกที่ครับ นับเนื่องจากยุคศตวรรษที่20 ผู้คนทั่วโลกต่างหลงไหลได้ปลื้มกับโคล พอร์เตอร์, ดุ๊ก เอลลิงตัน, หลุยส์ อาร์มสตรอง, แฟรงค์ ซินาตร้า, บิลลี่ ฮอลิเดย์, แฮงค์ วิลเลียม, โรเบิร์ต จอห์นสัน และศิลบินผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นตำนานดนตรีของอเมริกันชนอีกมากมายหลายคน บุคคลเหล่านี้ภายหลังจึงกลายเป็นตำนานของโลกไปโดยปริยาย มีคำถามเกิดขึ้นในเวลาต่อมาว่า?เพราะเหตุใด ? ประเทศเกิดใหม่อย่างสหรัฐอเมริกาจึงสามารถสร้างสรรค์ศิลปินเอกของโลกได้เป็นกอบเป็นกำขนาดนี้ อีกทั้งยังสามารถสถาปนาให้ตัวเองเป็นสถาบันดนตรีของโลกได้อย่างไม่ขัดเขิน มีสิ่งใดเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า บลูส์, แจ๊ซ และคันทรี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์ของดนตรีอเมริกันอย่างเด่นชัดถึงต้องเป็นดนตรีของโลกไปด้วย หรือหากจะวัดกันที่ความนิยมก็ยังมีข้อโต้แย้งได้อยู่ดี เพราะมาถึงวันนี้มีผู้คนมากมายที่ยังปักใจเชื่อว่า ?แจ๊สต้องปีนบันไดฟัง? หรือ ?เป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของบลูส์? ในขณะที่คันทรียิ่งไปไม่ถึงไหน ยังวนเวียนกันอยู่แถว ๆ แนชวิลช์ จะมีหลุดรอดออกมาให้ชาวโลกได้ร่วมชื่นชมสักคนก็ต้องลุ้นกันเหนื่อย แถมศิลปินหลายคนยังเข้าใกล้ดนตรีพ็อปเข้าไปทุกที ถ้าอย่างนั้นเราลองมาคิดแบบกบฏกันดูเล่น ๆ ว่า ดุ๊ก, หลุยส์, แฟรงค์, แฮงค์ และอีกหลาย ๆ ตำนานควรยืนอยู่ตรงไหน และยิ่งใหญ่สำหรับใคร แค่ไหน อย่างไร ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวถึงก็เพื่อให้ช่วยกันตั้งข้อสังเกตประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง คือต้องการโยงเข้าสู่ดนตรีสาขาหนึ่งที่อเมริกันชนเกือบฆ่ามันทิ้ง แต่เมื่อมันไม่ตาย และสามารถเติบโตขึ้นมาบนโลกของดนตรีได้อย่างเข้มแข็ง ต่างก็ช่วยกันยกย่องเชิดชูกันอย่างขนานใหญ่จนหลงลืมไปว่าได้เคยทำอะไรไว้บ้างกับดนตรีที่เรียกว่า ?ร็อค แอนด์ โรลล์? เมื่อมองย้อนกลับไปก่อนปี ค.ศ.1950 ผู้ใหญ่หัวอนุรักษ์นิยมทั้งหลายในอเมริกันสั่งห้ามเด็ดขาดมิให้ลูกหลานเข้าไปข้องแวะกับดนตรีร็อค ประณามกันว่าเป็นดนตรีของปีศาจซาตาน มีการแช่งชักหักระดูกชนิดไม่ให้ผุดให้เกิดกันเลยทีเดียว แต่?วัยรุ่นสมัยโน้นกับสมัยนี้ก็ไม่แตกต่างกันนัก ประเภทยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุส่ง! ดนตรีร็อคเริ่มระบาดไปอย่างรวดเร็วเกินจะหยุดยั้งได้อีกต่อไป เสียงเพลงของศิลปินอย่าง บัดดี้ ฮอลลี ดังกระหึ่มไปทั่วทุกที่ พร้อมการแสดงที่เร่าร้อน และลีลาที่โดนใจวัยรุ่น และถึงแม้ว่าศิลปินผู้นี้จะด่วนชิงลาโลกไปก่อนด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกพร้อมศิลปินร็อคที่กำลังมาแรงอีกสองคนคือ ริชชี่ วาเลนส์ และ เจพี ริชาร์ดสัน แห่งวง เดอะบิ๊กบ๊อบเปอร์ ก็ไม่ได้ทำให้กระแสความนิยมดนตรีร็อคต้องลดลงแต่อย่างใด หนำซ้ำยังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม เนื่องเพราะได้บังเกิดคลื่นลูกใหม่นามว่า ?เอลวิส เพรสลีย์? ซึ่งต่อมาภายหลังเขาได้รับการขนานนามว่าเป็น ?ราชาเพลงร็อค? คนแรก และคนเดียวที่โลกให้การยอมรับเป็นทางการ เอลวิส กับ วันประวัติศาสตร์ ของตำนาน ? ร็อค แอนด์ โรลล์ ? ปี1950 แซม ฟิลลิปส์ โปรดิวเซอร์ชี่อดังของยุคนั้นเคยกล่าวไว้ว่า ?? ถ้าหากผมเจอไอ้หนุ่มผิวขาวสักคนที่มีน้ำเสียงแบบนิโกร จิตใจ และความรู้สึกเป็นแบบนิโกรได้ยิ่งดี คราวนี้แหละคุณเอ๋ย! ได้รวยกันเป็นพันล้านแน่ ? ว่ากันว่า ด้วยคำพูดที่ว่านี้ทำให้บริษัทแผ่นเสียง ซัน เร็คคอร์ด เริ่มสอดส่ายมองหาเด็กหนุ่มในฝันคนนั้น ในที่สุดก็ได้พบกับ เอลวิส เพรสลีย์ และเซ็นสัญญากับเขาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 1954 เหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ของดนตรีร็อค - 21 พฤษภาคม 1955 ชัค เบอรี่ ดัดแปลงเพลงคันทรีชื่อ ida red ให้เป็นร็อค ลีลาของเขากลายเป็นเทคนิคมาตรฐานโลก เขามีเพลงดังต่อเนื่องในเวลาต่อมาคือ Johnny B.Good - 9 สิงหาคม 1955 เพลง Ain?t That A Shame ของ แพท บูน ได้รับการเปิดออกอากาศในสถานีวิทยุของคนดำ นับเป็นครั้งแรกที่เพลงของคนขาวได้รับการเผยแพร่โดยโดยสื่อของคนดำ ในขณะที่ก่อนหน้านั้น แฟ็ต โดมิโน ซึ่งเป็นคนดำได้ร้องเพลงนี้ไว้ กลับถือเป็นเพลงต้องห้ามสำหรับสถานีของคนขาว กำแพงแบ่งกั้นได้ถูกทำลายลงในวันนี้ - 6 สิงหาคม 1957 ที่เมือง ลิเวอร์พูล ประเทศ อังกฤษ ประมาณ 4 โมงครึ่ง หนุ่มน้อยวัย15 ชื่อ พอล แม็คคาร์ทนีย์ ได้เข้าไปดูวง ควอรี่แมน ที่มีนักกีตาร์ชื่อ จอห์น เลนนอน เล่นอยู่ ทั้งคู่เกิดชะตาต้องกัน สองอาทิตย์ต่อมา แมคคาร์ทนีย์ ก็เข้าร่วมเป็นสมาชิกคนหนึ่งของ เดอะ ควอรี่แมน - 3 กุมภาพันธ์ 1959 ร็อคสตาร์ที่กำลังมาแรงที่สุดในขณะนั้น 3 คนคือ บัดดี้ ฮอลลี (22 ปี) ริชชี วาเลนส์ (17 ปี) และ เจ พี ริชาร์ดสัน (23 ปี) ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิตในคราวเดียวกัน วันนี้ถูกเรียกว่า ?The Day The Music Died? - ปี 1960 เป็นปีที่วงการ ร็อค แอนด์ โรลล์ในอเมริการะส่ำระสาย เพราะ เอลวิส เพรสลีย์ ถูกเกณฑ์เป็นทหาร ในช่วงเวลานี้ วงการเพลงร็อคของอังกฤษกลับคึกคัก เมื่อเด็กหนุ่ม 4 คน จากลิเวอร์พูล ในนามของ เดอะ บีทเทิ่ลส์ สร้างกระแสนิยมจากการผสมผสานดนตรีในแนวพ็อป และ ร็อคเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ปรากฎว่าโดนใจนักฟังทั่วโลกเข้าอย่างจัง ผลคือ เดอะ บิสเทิ่ลส์ กลายเป็นตำนานที่สำคัญบทหนึ่งของเพลงร็อค นับจากนั้นเป็นต้นมา ก็เกิดการผสานที่แตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ ก่อเกิดเป็นร็อคหลากหลายสไตล์อาทิ โฟล์คร็อค, แจ๊ซร็อค, พังค์ร็อค, ฮาทร็อค และอีกมากมาย

    วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    ประวัติวง PARAMORE



    พาร์อะมอร์ (Paramore อ่านว่า "Par-a-mour" ) เป็นวงดนตรีแนวป็อปร็อก ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ ปี 2008 สาขาศิลปินหน้าใหม่ก่อตั้งวงตั้งแต่ปี 2002 ในรัฐ Tennesse โดยมีสมาชิกทั้งหมด 4 คนประกอบด้วย Hayley Williams (ร้องนำ), Josh Farro (กีต้าร์), Jeremy Davis (เบส), and Zac Farro (กลอง) ออกผลงานชุดแรก All We Know Is Falling ในปี 2005 และ Riot! คืออัลบั้มชุดที่ 2 อัลบั้มชุดนี้ขึ้นชาร์ทสูงสุดถึงอันดับที่ 15 ในอันดับอัลบั้มของบิลบอร์ดและเพลง “Misery Business” ได้ขึ้นอันดับที่ 34 ของอันดับเพลงของบิลบอร์ดอีกด้วย

    วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    ประวัติวง GOOD CHARLOTTE

    กู้ด ชาร์ล็อตต์ (Good Charlotte) เป็นวงแนวป็อป-พังค์จาก วาลดอร์ฟ รัฐแมรี่แลนด์ (Waldorf, Maryland) ก่อตั้งวงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 นำโดย 2 พี่น้องฝาแฝด Joel Madden (ร้องนำ) และ Benji Madden (กีต้าร์) ร่วมด้วย 2 เพื่อนสนิท Billy Martin (กีต้าร์) และ Paul Thomas (เบส) มีเพลงฮิตอย่าง “I Just Wanna Live” และ “Girls And Boys” ในงานเอ็มทีวี เอเชีย เอด ,กรุงเทพ กู้ด ชาร์ล็อตต์ได้ฟอร์มตัวกันในปี พ.ศ. 2539 อัลบั้มแรกของพวกเค้าเปิดตัววางแผงในอีก 3 ปีถัดมาหลังจากตั้งวง อัลบั้มต่อมาคือ The Young and the Hopeless ซึ่งวางแผงในเดือนตุลาคม ปี 2545 อัลบั้ม The Young and the Hopeless ได้รับรางวัลแผ่นทองคำขาวมอบโดย RIAA 3 รางวัลจากผลงานเพลง ซิงเกิ้ลดัง คือ "Lifestyles of the Rich and Famous," "Boys and Girls," "Hold On" ทำให้พวกเค้าได้ออกรายการ Saturday Night Live ได้ลงปก หนังสือ Rolling Stone นิตยสารเพลง Alternative Press หนังสือ New York Times ก็ได้ลงรายละเอียดและประวัติของวงนี้ด้วย และนอกจากนั้นพวงกเค้าก็ได้ออก สปอต โฆษณาทาง CNN และ The Today Show วง กู้ด ชาร์ล็อตต์ก็ยังสามารถเรียกคะแนนนิยมจากแฟนๆของ MTV ได้อีกด้วย โดยที่2 พี่น้อง ตระกูล แมดเดน ครั้งนึงได้เป็นพิธีกรรายการ All Things Rock มิวสิกวิดีโอของพวกเค้าก็ติดอันดับบนชาร์ทของ MTV และ MTV2 และในขณะเดียวกันเพลง "The Anthem" ก็ได้รับรางวัล "Viewers Choice" ที่งาน MTV Video Music Awards 2546 ทางวงได้ตระเวนออกทัวร์โดยไม่หยุดพัก ระเบิดพลังให้เห็นบนเวทีทั่วโลกติดต่อกันนานถึง 20 เดือน กู้ด ชาร์ล็อตต์ยังถือโอกาสทำกิจกรรมพิเศษอีกหลายอย่าง ทั้งเป็นนักร้องรับเชิญให้กับเมสท์ ( Mest ) และ เอ็น.อี.อาร์.ดี. (N.E.R.D.) ทำเสื้อผ้ายี่ห้อเลเวล 27 (Level 27) และยี่ห้ออื่นๆ รวมถึงยังทำของเล่นอีกด้วย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2547 พี่น้องแมดเดนยังทำค่ายเพลงเอง ชื่อว่าดีซี แฟล็ก เร็คคอร์ดส์ (DC Flag Records) โดยทำอัลบั้มให้กับโลลา เรย์ (Lola Ray) และฮาเซน สตรีท (Hazen Street) เมื่อถึงเวลาที่จะออกอัลบั้มที่สาม กู้ด ชาร์ล็อตต์ต้องการที่จะใส่ความสัมพันธ์ของสมาชิกในวง และความติดต่อขอร่วมงานกับอีริค วาเลนไทน์ (Eric Valentine) ผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานในอัลบั้มแรก ทางวงทำเพลงเกือบ 30 เพลงตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงสิงหาคม พ.ศ. 2547 ณ แบร์ฟุต สตูดิโอของวาเลนไทน์ในลอสแอนเจลิส อัลบั้มที่ 3 The Chronicles of Life and Death ออกวางขายปี พ.ศ. 2547 อัลบั้มขึ้นอันดับ 3 บิลบอร์ด มีเพลงดังอย่าง "Predictable" และ "I Just Wanna Live" “Good Morning Revival” คือผลงานชุดที่ 4 ของกู้ด ชาร์ล็อตต์ ที่มาพร้อมกับทิศทางดนตรีใหม่ โดยมีการนำซาวนด์ดนตรีที่หลากหลายมาผสมผสานในอัลบั้มนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำอิทธิพลดนตรีแดนซ์ (ซึ่งเป็นแนวเพลงที่ทางวงกำลังให้ความสนใจ)มาใส่ไว้ในอัลบั้ม, เพลงบัลลาด, ไปจนถึงเพลงร็อกมันๆ โดยในอัลบั้มนี้ กู้ด ชาร์ล็อตต์ได้กลับมาร่วมงานกับ ดอน กิลมอร์ (Don Gilmore) (?ลินคิน พาร์ค ,เอฟริล ลาวีน) โปรดิวเซอร์ชื่อดังที่เคยเป็นโปรดิวเซอร์ในผลงานชุดแรกของวงอีกครั้ง ประเดิมซิงเกิ้ลแรกด้วย “Keep Your Hands Off My Girl” ในงานเอ็มทีวี เอเชีย เอด ,กรุงเทพ กู้ด ชาร์ล็อตต์ได้ฟอร์มตัวกันในปี พ.ศ. 2539 อัลบั้มแรกของพวกเค้าเปิดตัววางแผงในอีก 3 ปีถัดมาหลังจากตั้งวง อัลบั้มต่อมาคือ The Young and the Hopeless ซึ่งวางแผงในเดือนตุลาคม ปี 2545 อัลบั้ม The Young and the Hopeless ได้รับรางวัลแผ่นทองคำขาวมอบโดย RIAA 3 รางวัลจากผลงานเพลง ซิงเกิ้ลดัง คือ "Lifestyles of the Rich and Famous," "Boys and Girls," "Hold On" ทำให้พวกเค้าได้ออกรายการ Saturday Night Live ได้ลงปก หนังสือ Rolling Stone นิตยสารเพลง Alternative Press หนังสือ New York Times ก็ได้ลงรายละเอียดและประวัติของวงนี้ด้วย และนอกจากนั้นพวงกเค้าก็ได้ออก สปอต โฆษณาทาง CNN และ The Today Show วง กู้ด ชาร์ล็อตต์ก็ยังสามารถเรียกคะแนนนิยมจากแฟนๆของ MTV ได้อีกด้วย โดยที่2 พี่น้อง ตระกูล แมดเดน ครั้งนึงได้เป็นพิธีกรรายการ All Things Rock มิวสิกวิดีโอของพวกเค้าก็ติดอันดับบนชาร์ทของ MTV และ MTV2 และในขณะเดียวกันเพลง "The Anthem" ก็ได้รับรางวัล "Viewers Choice" ที่งาน MTV Video Music Awards 2546 ทางวงได้ตระเวนออกทัวร์โดยไม่หยุดพัก ระเบิดพลังให้เห็นบนเวทีทั่วโลกติดต่อกันนานถึง 20 เดือน กู้ด ชาร์ล็อตต์ยังถือโอกาสทำกิจกรรมพิเศษอีกหลายอย่าง ทั้งเป็นนักร้องรับเชิญให้กับเมสท์ ( Mest ) และ เอ็น.อี.อาร์.ดี. (N.E.R.D.) ทำเสื้อผ้ายี่ห้อเลเวล 27 (Level 27) และยี่ห้ออื่นๆ รวมถึงยังทำของเล่นอีกด้วย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2547 พี่น้องแมดเดนยังทำค่ายเพลงเอง ชื่อว่าดีซี แฟล็ก เร็คคอร์ดส์ (DC Flag Records) โดยทำอัลบั้มให้กับโลลา เรย์ (Lola Ray) และฮาเซน สตรีท (Hazen Street) เมื่อถึงเวลาที่จะออกอัลบั้มที่สาม กู้ด ชาร์ล็อตต์ต้องการที่จะใส่ความสัมพันธ์ของสมาชิกในวง และความติดต่อขอร่วมงานกับอีริค วาเลนไทน์ (Eric Valentine) ผู้อยู่เบื้องหลังการทำงานในอัลบั้มแรก ทางวงทำเพลงเกือบ 30 เพลงตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงสิงหาคม พ.ศ. 2547 ณ แบร์ฟุต สตูดิโอของวาเลนไทน์ในลอสแอนเจลิส อัลบั้มที่ 3 The Chronicles of Life and Death ออกวางขายปี พ.ศ. 2547 อัลบั้มขึ้นอันดับ 3 บิลบอร์ด มีเพลงดังอย่าง "Predictable" และ "I Just Wanna Live" “Good Morning Revival” คือผลงานชุดที่ 4 ของกู้ด ชาร์ล็อตต์ ที่มาพร้อมกับทิศทางดนตรีใหม่ โดยมีการนำซาวนด์ดนตรีที่หลากหลายมาผสมผสานในอัลบั้มนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำอิทธิพลดนตรีแดนซ์ (ซึ่งเป็นแนวเพลงที่ทางวงกำลังให้ความสนใจ)มาใส่ไว้ในอัลบั้ม, เพลงบัลลาด, ไปจนถึงเพลงร็อกมันๆ โดยในอัลบั้มนี้ กู้ด ชาร์ล็อตต์ได้กลับมาร่วมงานกับ ดอน กิลมอร์ (Don Gilmore) ?ลินคิน พาร์ค ,เอฟริล ลาวี โปรดิวเซอร์ชื่อดังที่เคยเป็นโปรดิวเซอร์ในผลงานชุดแรกของวงอีกครั้ง ประเดิมซิงเกิ้ลแรกด้วย “Keep Your Hands Off My Girl”
    ผลงาน
    Good Charlotte (2000)
    The Young and the Hopeless (2002)
    The Chronicles of Life and Death (2004)
    Good Morning Revival (2007)

    ประวัติวง FALL OUT BOY

    ฟอลล์ เอาท์ บอย (Fall Out Boy) เป็นวงป็อปพังก์จากอเมริกา ฟอร์มวงในปี 2001 ประกอบด้วยสมาชิก Patrick Stump (ร้อง,กีตาร์
    สมาชิกวง
    Patrick Stump
    Pete Wentz
    Joe Trohman
    Andy Hurley
    นักแต่งเพลงหลัก ), Pete Wentz (เบสกีตาร์,ร้อง,นักเขียนเนื้อเพลงหลัก), Joe Trohman (กีตาร์,ร้อง) และ Andy Hurley (กลอง,เพอร์คัชชัน) ได้รับรางวัลจากเวที เอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส จากเพลง Sugar We're Going Down และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และได้รับรางวัล Teen Choice Awards มาได้อีก 3 รางวัล และเพลง "Dance, Dance" ก็คว้ารางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส สาขาเพลงที่ได้รับเลือกจากคนดูมากที่สุดและยังเข้าชิงในสาขามิวสิควิดีโอศิลปินกลุ่มยอดเยี่ยมอีกด้วย อัลบั้มชุด From Under the Cork Tree ออกวางขายในปี 2005 ได้รับสองแผ่นเสียงทองคำ ขายได้มากกว่า 2.5 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา และต่อมาเดือน กุมภาพันธ์ 2007 ทางวงได้ออกผลงานอัลบั้มชุด Infinity on High ซึ่งสามารถขึ้นชาร์ทที่อันดับ 1 ด้วยยอดขาย 260,000 ชุดในสัปดาห์แรก และมีซิงเกิ้ลแรกคือ "This Ain't a Scene, It's an Arms Race" ขึ้นอันดับ 2 บนชาร์ทซิงเกิ้ลนิตยสารบิลบอร์ด

    วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

    poppunk

    Pop punk is a fusion music genre that combines elements of punk rock with pop music, to varying degrees. Allmusic describes the genre as a strand of alternative rock, which typically merges pop melodies with speedy punk tempos, chord changes and loud guitars.[1] About.com has described contemporary pop punk bands as having "a radio friendly sheen to their music, but still maintaining much of the speed and attitude of classic punk rock".[2]
    It is not clear when the term pop punk was first used, but pop-influenced punk rock had been around since the mid- to late-1970s.[3] An early use of the term pop punk appeared in a 1977 New York Times article, "Cabaret: Tom Petty's Pop Punk Rock Evokes Sounds of 60's".[4] In the mid-1990s, the California pop punk bands Green Day and The Offspring, who were later followed by Blink-182, would all achieve worldwide commercial success. From the mid-1990s onwards, some bands associated with the genre have been described as "happy punk", "faux-punk", "mall punk", "pseudo-punk" or "bubblegum punk".
    Origins (1974-1989)
    Protopunk and power pop bands of the late 1960s and early 1970s helped lay the groundwork for the pop punk sound, which emerged at the onset of punk rock around 1974 with the Ramones.[7] The Ramones' loud and fast melodic minimalism differentiated them from other bands in New York City's budding art rock scene, but pop punk was not considered a separate subgenre until later. Several UK bands of the late 1970s also played what can be considered pop punk. The music of the Buzzcocks,[8] Generation X, 999, The Jam,[9] The Rezillos, The Lurkers, The Undertones,[10][11] The Shapes and Toy Dolls featured catchy melodies, as well as lyrics that sometimes dealt with relatively light themes such as teenage romance. The US band Bad Religion, who started in 1979, were another band that helped lay the groundwork for contemporary pop punk.[12][13][14] Many mod revival bands of the late 1970s and early 1980s also displayed pop punk leanings.
    By 1981, hardcore punk had emerged in the United States, with louder, faster music than punk bands. Vocal harmony, melodic instrumentation and 4/4 drumming were replaced with shouting, discordant instrumentation, and experimental rhythms. A few bands, such as Descendents, Screeching Weasel, and The Vandals, began to combine hardcore with pop music to create a new, faster pop punk sound, sometimes referred to as popcore or skatecore.[citation needed] Their positive yet sarcastic approach began to separate them from the more serious hardcore scene. In the 1980s, the term pop punk was used in publications such as Maximum RocknRoll to describe bands similar to Social Distortion, Agent Orange and TSOL.[15]

    [edit] Independent pop punk (1990-1993)


    Guttermouth - live in concert
    Pop punk in the United States underwent a resurgence in the early- to mid-1990s, although the genre was not commercially viable at that time. Many pop punk bands retained a do it yourself (DIY) approach to their music, and a number of independent record labels emerged during that period, often run by band members who wanted to release their own music and that of their friends. The independent labels SST/Cruz Records, Lookout! Records, Fat Wreck Chords and Epitaph Records were about to achieve mainstream success.

    [edit] Popular acceptance (1994-1997)

    In February 1994, Green Day released Dookie, the band's first album on a major record label, after starting out on the independent Lookout! Records. The first single, "Longview", instantly became a hit on MTV and modern rock stations across North America and the United Kingdom. Following the success of their first single, Green Day released "Basket Case", which became an even bigger hit. Other hits from the album included "When I Come Around", "Welcome to Paradise" and "She". Dookie sold 10 million copies in the United States and 20 million copies worldwide. Green Day performed at Woodstock '94 and on Saturday Night Live, and appeared on the covers of Spin and Rolling Stone magazines. They won a Grammy for Best Alternative Music Album.
    Soon after the release of Dookie, The Offspring released the album Smash on the independent label Epitaph Records. The first single, "Come Out and Play", had a pop punk sound that differed from their earlier work, and it became popular first on radio and later on MTV. Other singles, "Self Esteem" and "Gotta Get Away", sold well. The album sold over 14 million copies worldwide, setting a record for most albums sold on an independent label.[16] By the end of the year, Dookie and Smash had sold millions of copies.[17] The commercial success of these two albums attracted major label interest in punk, particularly Epitaph bands from Southern California, with Bad Religion, NOFX and Rancid reportedly being offered lucrative contracts.[18] Also during this period, Face to Face released their breakthrough album Big Choice, featuring their only top 40 hit "Disconnected",[19] which also became popular on the Los Angeles radio station KROQ.
    In the early- to mid-1990s, ska punk achieved commercial success in the United States and several other countries. Some ska punk music — by bands such as Reel Big Fish, Goldfinger, Sublime and Less Than Jake — shared many characteristics with pop punk.
    By 1997, pop punk's audience had expanded significantly. Green Day's song "Good Riddance (Time of Your Life)", from their album Nimrod, brought pop punk to new levels of mainstream acceptance. The song was used in one of the final episodes of Seinfeld in 1998. Blink 182's song "Dammit (Growing Up)" rose to the top of the charts, and their major label debut album Dude Ranch went on to sell 1.5 million copies.

    [edit] Continued mainstream ascent (1998-2002)

    In 1998, The Offspring released the album Americana, which went platinum many times over, and produced hit singles such as "Pretty Fly (For a White Guy)", "Why Don't You Get a Job?" and "The Kids Aren't Alright". In 1999, Blink-182 released Enema of the State, which sold over 15 million copies worldwide. The album had three hit singles, including the #1 single "All the Small Things" and the #2 singles "What's My Age Again?" and "Adam's Song". Also in 1999, Lit released their second album, A Place in the Sun, which peaked at #31 on the Billboard 200 and spawned the single "My Own Worst Enemy", which spent 11 weeks at #1 on the US Modern Rock Tracks chart.
    In 2000, The Offspring released their next album Conspiracy of One on Napster before they released it on Columbia Records, sacrificing album sales so their fans could hear their music for free. In 2001, Sum 41 released their major label debut All Killer No Filler, which went multi-platinum and included the hit singles "Fat Lip", "In Too Deep" and "Motivation", all of which were featured prominently on TRL and modern rock charts. Also that year, Blink-182's album Take Off Your Pants and Jacket debuted at #1 on the Billboard album charts and sold over four million copies in the United States. The album included the modern rock and TRL hits "The Rock Show", "First Date" and "Stay Together for the Kids".
    In 2002, Good Charlotte released their second album, The Young and the Hopeless, which went triple platinum. Also in 2002, Simple Plan released their debut album No Pads, No Helmets...Just Balls and Face to Face released How to Ruin Everything, which would be their final album before disbanding two years later. Also that year, Blink-182 co-headlined one of the biggest concert tours in pop punk history, the Pop Disaster Tour with Green Day. In summer 2002, New Found Glory released their third album, Sticks and Stones, which experienced a fair amount of mainstream success with singles such as "My Friends Over You" and "Head on Collision". Sum 41 released their third album, Does This Look Infected, in 2002, giving them a harder sound with the singles "Still Waiting", "Over My Head (Better Off Dead)" and "The Hell Song".

    [edit] Contemporary mainstream pop punk (2003-present)

    In 2003, The Ataris released their breakthrough album So Long, Astoria, which included their first top 40 hit, a cover of "The Boys of Summer". Also in 2003, Blink-182 released a self-titled album, which garnered the band several hits, such as "Feeling This" and "I Miss You". Also released during this period were Rancid's Indestructible (featuring the hit single "Fall Back Down"), Yellowcard's Ocean Avenue (featuring the hit singles "Ocean Avenue", "Way Away" and "Only One"), and The Offspring's Splinter, which spawned another number one US hit for the band "Hit That".
    New Found Glory released Catalyst in 2004, which included the hit "All Downhill from Here". Although some songs on the album expanded on the band's hardcore punk influences, other songs added synthesizers and keyboards.[20] In October 2004, Sum 41 released the album Chuck, which mixed pop punk with several other genres, including thrash metal, alternative rock and hardcore. The album's first single, "We're All to Blame", reached #10 on the Billboard Modern Rock Tracks charts, and the single "Pieces" topped the charts in Canada. Also that year, Simple Plan released their second album Still Not Getting Any.... The first single, "Welcome to My Life", reached #1 on the Canadian Singles Chart and the Spanish Singles Chart, as well as reaching #11 on the Top 40 Mainstream chart. Green Day released the rock opera album American Idiot in September 2004. The singles "American Idiot", "Jesus of Suburbia", "Boulevard of Broken Dreams", "Holiday" and "Wake Me Up When September Ends" received international airplay and MTV video rotation, and topped charts worldwide.
    In 2005, Mark Hoppus and Travis Barker of Blink-182 formed +44, and in 2006 the band released its first album, When Your Heart Stops Beating. In January 2008, Face to Face reunited and embarked on their first tour together since 2004 later that year. In 2006, My Chemical Romance released The Black Parade, which received critical acclaim and a great amount of mainstream success. The album has sold 1,610,000 copies in the US as of October 2010.In June 2008, The Offspring released the album Rise and Fall, Rage and Grace, featuring their most successful single "You're Gonna Go Far, Kid", which topped the Billboard Modern Rock Tracks charts for 11 weeks, making it the longest consecutive run for any Offspring single at #1. The accession of pop punk band All Time Low in the late 2000's is also noteworthy, gaining a vast amount of support with their albums So Wrong, It's Right (2007) and Nothing Personal (2010), on which Blink-182 bassist Mark Hoppus contributed. In December 2009, the band won the Best Pop Punk Band at the Top In Rock Awards. In February 2009, Pop punk legends Blink-182 reunited onstage for the first time since 2005, at the 51st Grammy Awards, announcing their reformation as a band. They would tour the United States that summer, and they announced the recording of a new album due in 2011. In 2009, pop punk superstars Green Day released their album 21st Century Breakdown, another rock opera, and though not as critically acclaimed as American Idiot, it has still sold over 3.5 million copies worldwide. To show the further extent of the mainstream popularity of the pop punk scene, Blink-182 member Mark Hoppus would become the host of his own television show on Fuse TV, on which he gives his opinion on contemporary music. The show is called A Different Spin with Mark Hoppus.
             ต้นกำเนิดของวง คือ Pop Punk ครับ แล้วเพลงในอัลมั้มต่างๆ ก็ต้องทำให้ออกมาตีตลาดครับ เพราะวงนี้เป็นตลาดของวัยรุ่นทุกเพศทุกวัยคำว่า ป็อปพั้ง เป็นดนตรีแนวป็อปทีมีกลิ่นอายของความเป็นพั้งผสมอยู่ อยู่ที่แต่ละวงจะให้อะไรออกมามากน้อยกว่ากัน ถ้าอย่าง blink182 ความเป็นพั้งก็จะออกมาเยอะกว่าป็อป วง All time low ความเป็นป็อปพั้งจะออกมาเท่าๆกันตีตลาดวัยรุ่น แนวสนุกสนาน ความรัก สังคม ถ้าอย่าง PunkRock เลยก็จะเป็นเหมือนวง sum 41 ครับ